top of page

Aston Martin

ยานยนต์สปอร์ตหรูแอสตัน มาร์ทิน (Aston Martin) ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1913 จากความร่วมมือกันของ Lionel Martin (ไลโอเนล มาร์ทิน) และ Robert Bamford (โรเบิร์ต แบมฟอร์ด) นักธุรกิจและวิศวกรชาวฝรั่งเศส โดยก่อนหน้านั้นหนึ่งปี ได้ก่อตั้งบริษัท Bamford & Martin เพื่อจำหน่ายรถยนต์ซึ่งผลิตโดยบริษัท Singer (ซิงเกอร์) ในกรุงลอนดอน นอกจากจำหน่ายรถยนต์ซิงเกอร์แล้ว ยังมีการให้การบำรุงรักษารถจีดับเบิลยูเค และรถคัลธอร์ป (Calthorpe) ด้วย

มาร์ทินนำรถเข้าร่วมการแข่งขันพิเศษที่จัดขึ้น ณ เนินแอสตัน (Aston Hill) ใกล้กับ หมู่บ้านแอสตันคลินตัน (Aston Clinton) เขาจึงได้นำชื่อของหุบเขาที่จัดแข่งรถในครั้งนั้น รวมกับนามสกุลของ Lionel Martin มาตัดสินใจทำธุรกิจแบรนด์รถเป็นของตัวเอง

History of Aston Martin

(ซ้าย) Lionel Martin และ (ขวา) Robert Bamford

รถยนต์ที่ถูกออกแบบในครั้งแรก มีชื่อว่า Aston Martin ถูกสร้างขึ้นโดย Martin โดยการติดตั้งเครื่องยนต์สี่สูบเข้ากับตัวโครงสร้างของรถยนต์รุ่น 1908 Isotta-Fraschini พวกเขาได้เริ่มต้นผลิตรถยนต์ครั้งแรก เมื่อเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 1915 หลังจากได้ที่ตั้งสำหรับการผลิตใหม่ที่ Henniker Place  ในเมืองเคนซิงตัน ในประเทศอังกฤษ

อย่างไรก็ตาม การผลิตก็เป็นอันต้องหยุดชะงัก เนื่องจากเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 1 ทั้งคู่ต้องเข้าร่วมรบกับกองทัพอังกฤษ โดยมาร์ตินเข้าร่วมกับกองทัพเรือ ส่วนแบมฟอร์ด เข้าร่วมกับกองทัพบก เครื่องจักรทั้งหมดถูกขายให้กับบริษัท Sopwith Aviation Company

หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สงบลง แบมฟอร์ดถอนตัวออกจากบริษัท เมื่อปี ค.ศ. 1920 Aston Martin ได้ย้ายโรงงานการผลิตไปอยู่ที่ถนน Abingdon และเริ่มทำการออกแบบรถยนต์ขึ้นอีกครั้งภายใต้ชื่อ Aston Martin เช่นเดิม โดยได้รับเงินทุนสนับสนุนจาก Count Louis Zborowski (เคาท์หลุยส์ ซโบรอฟสกี) ในปี ค.ศ. 1922 ได้เริ่มมีการผลิตรถยนต์เพื่อใช้ในการแข่งขันในรายการ French Grand Prix อีกทั้งยังสร้างสถิติความเร็วและความทนทานระดับโลกไว้ที่สนามแข่ง Brooklands (สนามบรูกแลนด์ส)

ยานพาหนะที่สร้างขึ้นในขณะนั้น ได้แก่ Green Pea, Razor Blade และ Halford Special มีรถยนต์ประมาณ 55 คันที่สร้างขึ้นเพื่อขาย โดยมีทั้งโครงสร้างแบบยาวและแบบสั้น แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เมื่อปี ค.ศ. 1924 บริษัทประสบสภาวะล้มละลาย ซึ่งในขณะนั้นได้โดโรเธีย เลดี้ ชานวูด (Lady Charnwood) เข้ารับช่วงบริหารต่อ โดยเธอได้มอบหมายให้ลูกชาย จอห์น เบ็นสัน (John Benson) เป็นผู้รับผิดชอบดูแล แต่ก็ล้มเหลวอีกครั้งในปีถัดมา โรงงานแอสตันมาร์ตินจึงต้องปิดตัวไปในปี ค.ศ. 1926 พร้อมกับการที่ไลโอเนล มาร์ติน ถอนตัวออกจากบริษัท

ต่อมาในปีเดียวกัน Bill Renwick (บิล เร็นวิค) , Augustus Bertelli (Bert) (ออกุสตัส (เบิร์ท) , Lady Charnwood (เลดีชาร์นวูด) และนักลงทุนอีกจำนวนหนึ่ง ได้ร่วมกันซื้อต่อกิจการและร่วมเป็นหุ้นส่วนในบริษัท โดยเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Aston Martin Motors และย้ายบริษัทไปยังที่ตั้งเดิมของ Whitehead Aircraft Limited works ในเมืองเฟลแธม (Feltham)

Bertelli และ Renwick เป็นหุ้นส่วนกันมาระยะหนึ่งแล้ว และได้พัฒนาเครื่องยนต์สี่สูบเหนือศีรษะโดยใช้การออกแบบห้องเผาไหม้ที่ได้รับการจดสิทธิบัตร พวกเขาทดสอบกับแชสซีและเรียกมันว่า Buzzbox เป็นรถยนต์รุ่นเดียวของ Renwick และ Bertelli ที่ผลิตขึ้น รถยนต์ที่ถูกผลิตในช่วงปี ค.ศ. 1926-1937 ถูกเรียกว่า รถ Bertelli รวมถึง T-Type, International, Le Mans, MKII, Ulster และ Speed ​​Model รถยนต์เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นรถสปอร์ตสองที่นั่งแบบเปิด และมีเพียงไม่กี่รุ่นที่เป็นรุ่นแชสซีแบบยาว

Pasted-48.png
แอสตันมาร์ติน เมคทู รุ่นปี ค.ศ. 1935

ช่วงที่ครีเอทที่สุดของ Aston Martin คือการเปิดตัวรถยนต์รุ่น DB4 ในปี ค.ศ.1958 ถูกออกแบบโดยบริษัท Carrozzeria Touring Superleggera และมีตะแกรงหน้าที่มีรูปทรงดูเหมือนจมูกของฉลามออกแบบโดยวิศวกรของ Aston Martin ชื่อ Frank Feeley รถรุ่น DB4 ประสบความสำเร็จในการรวมเอาความสวยงามแบบอิตาลีและความความประณีตดูดีมีระดับแบบอังกฤษ

Pasted-53.png
Aston Martin DB4

แม้จะประสบความสำเร็จมากขึ้น แต่ Aston Martin ก็ยังต้องการเงินเพื่อความอยู่รอดในระยะยาว Walter Hayes ดำรงตำแหน่งรองประธาน Ford แห่งยุโรปและเล็งเห็นถึงศักยภาพของแบรนด์อังกฤษ การอภิปรายเกิดขึ้นและฟอร์ดเข้าถือหุ้นในปีค.ศ. 1987 Ford ซึ่งอยู่ในกลุ่ม Premier Automotive Group ลงทุนในการผลิตใหม่และเพิ่มการผลิต ในปี ค.ศ. 1995 Aston Martin ผลิตรถยนต์ได้ 700 คัน ซึ่งเป็นสถิติใหม่ของบริษัท

ในปี ค.ศ. 1994 เอียน คัลลัมได้ลาออกเพื่อไปร่วมงานกับแบรนด์จากัวร์ (Jaguar) ทาง Aston Martin ก็ได้ Henril Fisker ซึ่งเคยเป็นนักออกแบบของ BMW เข้ามาร่วมงานด้วยในฐานะหัวหน้านักออกแบบ ซึ่งเป็นปีเดียวกันกับที่เริ่มเปิดตัวรถรุ่น DB9 และ V8 Vantage ซึ่งต่อมารูปแบบการดีไซน์ที่ดูลื่นไหลก็ได้ถูกส่งต่อไปยังรถรุ่นต่อมา ที่ออกแบบโดยผู้สืบทอดของนาย Henril Fisker ซึ่งก็คือนาย Marek Reichman และต่อมาเขาได้เป็นคนออกแบบรถรุ่น Rapide

Pasted-69.png
Aston Martin Rapide
Pasted-47.png
bottom of page