top of page

Audi

จุดเริ่มต้นความสำเร็จอันยาวนานของ Audi ที่มีมานับ 100 ปี เริ่มต้นในประเทศเยอรมัน นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1932 เมื่อ 4 บริษัท ผู้ผลิตรถยนต์ของเยอรมัน ซึ่งประกอบไปด้วย Audiwerke, Horchwerke Zschopauer Motorenwerke , DKW, Wanderer Werke จับมือกันภายใต้บริษัทใหม่ที่ชื่อว่า ‘Auto Union AG’ โดยทั้ง 4 แบรนด์ได้ร่วมผลิตรถยนต์ออกจำหน่ายในแบรนด์ต่างๆ ของตัวเองภายใต้โลโก้เดียวกัน นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่กลายมาเป็นชื่อของ Audi ที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบัน ที่เดินทาง ผ่านจุดที่เรียกได้ว่าถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์รถยนต์ ไปจนถึงจุดวิกฤตจากสถานการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 จน ทำให้บริษัทต้องหยุดการผลิตไปช่วงหนึ่ง เมื่อสงครามจบลง Audi ยังคงสามารถปรับตัวโดยพัฒนาสินค้า เพื่อตอบโจทย์ผู้คน ในช่วงหลังสงครามโลก Audi ทำแบรนด์ชื่อว่า DKW เพื่อออกรถแวน รถมอเตอร์ไซต์ ซึ่งเป็นที่ต้องการในยุคนั้น จนในปี ค.ศ.1964 Volkswagen เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และดำเนินกิจการทั้งหมด โดยเปิดตัว Audi รุ่น 80 และ 100 อย่างเป็นทางการครั้งแรกในปี ค.ศ.1968 ซึ่งก็ได้รับความนิยมอย่างท่วมท้น

และตั้งแต่ปี 1972 เป็นต้นมา Audi ก็มีนวัตกรรมใหม่ๆ เพิ่มเข้ามามากมาย อย่างในปีค.ศ. 1976 เริ่มมีเครื่องยนต์ 5 สูบ ในปี ค.ศ. 1979 มีระบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ และสุดยอดระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออย่าง Quattro ที่ทำมาเพื่อรองรับการยึดเกาะ ทุกสภาพถนนโดยเฉพาะถนนคดเคี้ยว ลดอาการท้ายปัดหรือหลุด เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมรถได้อย่างคล่องตัว และปลอดภัย ยิ่งขึ้น

3 (1).jpg

ในปี ค.ศ.1980 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชื่อเสียงของแบรนด์ Audi โด่งดังจากการชนะการแข่งขันในระดับโลก World Rally Championship (WRC) ซึ่งเป็นการแข่งขันที่จัดโดย FIA (Fédération Internationale de l'Automobile) หรือ สหพันธยานยนต์นานาชาติ ซึ่งจะหมุนเวียนไปจัดการแข่งขันแรลลีทุกปีในประเทศต่างๆ และถือเป็น ครั้งแรกที่คนทั้งโลกได้รู้จัก Quattro กับนวัตกรรมการขับเคลื่อน 4 ล้อ อันล้ำหน้าของ Audi ซึ่งถูกจารึกไว้ ในฐานะผู้ชนะในการแข่งขันเวทีนี้ตั้งแต่ปีค.ศ. 1980-1982 และจากการแข่งขันในครั้งนี้เองที่ทำให้ Audi ถูกมอง เป็นรถยนต์ที่ล้ำหน้าเทคโนโลยีอย่างแท้จริง และเป็นต้นแบบมาสู่ Audi Quattro ที่โด่งดังในเวลาต่อมา อีกทั้งยังเป็น ผู้นำเทรนด์ให้กับแบรนด์รถยนต์อื่นๆ ทำตามแนวคิดนี้จำนวนมาก

4 (1).jpg

ในปี ค.ศ. 1985 ได้เปลี่ยนชื่อบริษัทอีกครั้งเป็น ‘AUDI AG’ พร้อมกับการเป็นค่ายรถที่บุกเบิกเทคโนโลยีล้ำสมัยมากมาย เช่น เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ เครื่องยนต์ดีเซลระบบไดเรคอินเจคชั่น เครื่องยนต์เบนซินระบบไดเรคอินเจคชั่น ซึ่งในช่วงปี ค.ศ. 1993 ถือเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ Audi ด้วยนโยบายของผู้บริหารภายใต้ โฟลค์สวาเกนกรุ๊ป ขณะนั้นจำเป็นต้องจัดกลุ่มของรถยนต์หลายแบรนด์ในเครือให้ชัดเจน จึงปรับ Audi ให้เป็นแบรนด์รถยนต์ระดับพรีเมียม ซึ่งมีผลให้ภาพลักษณ์ของ Audi เปลี่ยนไป เช่นเดียวกับการเก็บงาน การดีไซน์ต่างๆ ที่เพิ่มความความละเมียดละไม ทั้งด้านในและด้านนอกตัวรถยนต์มากยิ่งขั้น ปีถัดมา Audi แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของการเป็นแบรนด์ระดับพรีเมียม ด้วยการแสดงความล้ำหน้าของเทคโนโลยีไปอีกขั้นกับการเปิดตัว "ASF" (Audi Space Frame) โครงสร้างรถยนต์ที่ทำด้วยอลูมิเนียมทั้งคัน ทำให้รถมีน้ำหนักเบา แข็งแกร่งทนทาน โดยเปิดตัวกับรุ่น A8 ครั้งแรก ในปีค.ศ.

1994 ถือว่าเป็นก้าวที่สำคัญของ Audi ซึ่งมีผลทำให้ Audi กลายเป็นแบรนด์พรีเมียมที่ได้รับการยอมรับในยุโรป ได้ภายในระยะเวลาเพียง 3 ปี

และในปีค.ศ. 1996 Audi ออกรุ่นใหม่อย่าง A6 ซึ่งสร้างปรากฎการณ์ใหม่อีกครั้ง ด้วยการออกแบบรถยนต์ ให้ขับเคลื่อนด้วยล้อหน้า ซึ่งในยุคเดียวกันรถยนต์ส่วนใหญ่จะขับเคลื่อนด้วยล้อหลัง ข้อดีคือทำให้เครื่องยนต์ถูกย้าย ไปด้านหน้ารถ ส่งผลให้การนั่งด้านหลังสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1998 Audi TT รถสปอร์ตที่ออกมาสร้างความฮือฮาอย่างมาก ทั้งในแง่ของดีไซน์การออกแบบล้ำสมัยที่สุดในยุคนั้น และกลายเป็นตัวอย่าง ในการสอนดีไซน์รถยนต์ทั่วโลก ทำให้รถมีน้ำหนัก เบามากด้วย ถือเป็นรถสปอร์ตของ Audi ที่มาพร้อม ระบบปฎิบัติการขับเคลื่อน 4 ล้อ Quattro และ ระบบเทอร์โบชาร์จรวมไว้เป็นหนึ่งเดียว

R8 รถสปอร์ตขุมพลังซุปเปอร์คาร์

Audi สร้างความตื่นเต้นให้กับวงการยนตรกรรมระดับโลกอีกครั้งในปี ค.ศ. 2006–2007 กับการออกรถสปอร์ตที่ใส่เครื่อง ซุปเปอร์คาร์อย่าง R8 ออกมา ทั้งดีไซน์สุดล้ำ และเพิ่มศักยภาพด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Quattro และ ระบบปฏิบัติการณ์ของ Lamborghini Gallardo พร้อมด้วยโครงสร้างที่เป็น Audi Space Frame ที่ใช้อลูมิเนียมทั้งคัน ซึ่งมีความเป็นซุปเปอร์คาร์
ในรูปลักษณ์ของรถสปอร์ตที่โฉบเฉี่ยว

7.jpg

บทพิสูจน์ความอึดกับแชมป์สนาม 24 hours of Le Mans

และตั้งแต่ปี 2006-2008 Audi
สร้างชื่ออีกครั้งในการแข่งขันรถยนต์ในสนามการแข่งขันสุดโหดอย่าง 24 hours of Le Mans โดย โดยส่ง R10 TDI เทอร์โบดีเซล พร้อมด้วยเทอร์โบชาร์เจอร์ Audi พิสูจน์ความล้ำหน้าอีกขั้นบนเวทีโลกได้สำเร็จ เพราะที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีรถยนต์ที่เป็นเทอร์โบดีเซลไปลงแข่งที่สนามเลอมังส์ (24 hours of Le Mans) มาก่อน ในขณะ ที่คู่แข่งยังคงใช้เบนซินซึ่งทำให้มีการเผาผลาญพลังงาน หมดรวดเร็วกว่า หลังปี 2010 เป็นต้นมา Audi ยังคง เพิ่มเติมเทคโนโลยีล้ำหน้าเข้ามามากมาย ทั้งเรื่องรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด รวมไปถึงเทคโนโลยีการจอดรถ แบบ Pilot Parking เป็นต้น

bottom of page